
ภูมิแพ้เกิดจากอะไร? รวมสาเหตุ อาการ วิธีป้องกันและการดูแล
โรคภูมิแพ้เป็นปัญหาสุขภาพที่หลายคนต้องเผชิญในชีวิตประจำวัน ซึ่งส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตอย่างมาก โดยมีทั้งอาการเล็กน้อยไปจนถึงรุนแรงที่อาจเป็นอันตรายถึงชีวิต การทำความเข้าใจเกี่ยวกับภูมิแพ้สาเหตุต่างๆ รวมถึงวิธีป้องกันและรักษา จะช่วยให้ผู้ที่มีอาการภูมิแพ้สามารถใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุขมากขึ้น บทความนี้จะรวบรวมข้อมูลสำคัญเกี่ยวกับโรคภูมิแพ้ พร้อมแนวทางการดูแลตัวเองที่ถูกต้อง

โรคภูมิแพ้คืออะไร?
โรคภูมิแพ้เกิดจากอะไร ที่แท้จริงแล้วคือการที่ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายตอบสนองต่อสารบางชนิดที่ปกติแล้วไม่เป็นอันตราย มากเกินความจำเป็น เมื่อร่างกายสัมผัสกับสารก่อภูมิแพ้ (Allergen) ระบบภูมิคุ้มกันจะทำงานผิดปกติ โดยมองว่าสารเหล่านั้นเป็นสิ่งแปลกปลอมที่เป็นอันตราย จึงสร้างแอนติบอดีชนิด IgE (Immunoglobulin E) ออกมาต่อต้าน ซึ่งเป็นกลไกที่ทำให้เกิดอาการภูมิแพ้
กลไกการเกิดภูมิแพ้ในร่างกาย
เมื่อร่างกายสัมผัสกับสารก่อภูมิแพ้ เซลล์เม็ดเลือดขาวชนิด B-cell จะผลิตแอนติบอดี IgE จากนั้นแอนติบอดีจะไปจับกับเซลล์แมสต์และเบโซฟิล เมื่อร่างกายได้รับสารก่อภูมิแพ้เดิมอีกครั้ง เซลล์เหล่านี้จะหลั่งสารเคมี เช่น ฮิสตามีนและไซโตไคน์ ทำให้เกิดโรคภูมิแพ้อาการต่างๆ เช่น จาม น้ำมูกไหล คัน หรือผื่นแดง ซึ่งความรุนแรงของอาการจะแตกต่างกันไปในแต่ละคน
ปัจจัยใดบ้างที่ส่งผลต่อแนวโน้มในการเป็นภูมิแพ้
ปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้บุคคลมีโอกาสเป็นโรคภูมิแพ้มากกว่าคนอื่นๆ ได้แก่:
- กรรมพันธุ์: หากพ่อแม่หรือญาติสายตรงเป็นโรคภูมิแพ้ บุตรมีโอกาสเป็นโรคนี้มากขึ้น
- สภาพแวดล้อมในวัยเด็ก: การสัมผัสมลพิษ ควันบุหรี่ หรือการเลี้ยงดูที่พยายามปกป้องจากเชื้อโรคมากเกินไป (Hygiene Hypothesis)
- การเป็นโรคภูมิแพ้อื่นอยู่แล้ว: ผู้ที่เป็นโรคภูมิแพ้ชนิดหนึ่ง มีแนวโน้มจะเป็นโรคภูมิแพ้ชนิดอื่นได้ง่าย
- อายุ: โรคภูมิแพ้มักเริ่มต้นในวัยเด็ก แต่สามารถเกิดขึ้นได้ในทุกช่วงวัย
ประเภทของภูมิแพ้ที่พบบ่อย
โรคภูมิแพ้มีหลายประเภท ได้แก่:
- ภูมิแพ้ทางเดินหายใจ เช่น โรคหอบหืด ภูมิแพ้จมูก
- ภูมิแพ้ผิวหนัง เช่น ลมพิษ โรคเอ็กซีมา
- ภูมิแพ้อาหาร เช่น ภูมิแพ้นม ถั่ว อาหารทะเล
- ภูมิแพ้ยา เช่น ยาปฏิชีวนะ ยาแก้ปวด
- ภูมิแพ้แมลง เช่น ผึ้ง ต่อ แตน มด
สาเหตุของโรคภูมิแพ้
การเข้าใจโรคภูมิแพ้เกิดจากอะไร จะช่วยให้เราสามารถหลีกเลี่ยงสิ่งกระตุ้นและลดความเสี่ยงของการเกิดอาการได้ สาเหตุหลักๆ ของโรคภูมิแพ้มีดังนี้
พันธุกรรมและกรรมพันธุ์
ปัจจัยทางพันธุกรรมมีบทบาทสำคัญต่อการเกิดโรคภูมิแพ้ โดยมีการศึกษาพบว่า หากพ่อแม่ทั้งสองคนเป็นโรคภูมิแพ้ ลูกจะมีโอกาสเป็นโรคภูมิแพ้สูงถึง 60-80% แต่หากมีเพียงพ่อหรือแม่คนใดคนหนึ่งเป็น โอกาสจะลดลงเหลือประมาณ 20-40% และถ้าทั้งพ่อและแม่ไม่เป็นโรคภูมิแพ้ ลูกจะมีโอกาสเป็นเพียงประมาณ 10-15% เท่านั้น
สารก่อภูมิแพ้ที่พบบ่อยในชีวิตประจำวัน
สารก่อภูมิแพ้ที่พบได้บ่อยในชีวิตประจำวัน ได้แก่:
- ไรฝุ่น: พบในที่นอน หมอน พรม เฟอร์นิเจอร์
- ละอองเกสรดอกไม้: โดยเฉพาะในฤดูที่พืชออกดอก
- ขนสัตว์: ขนแมว สุนัข นก และสัตว์เลี้ยงชนิดอื่นๆ
- สปอร์เชื้อรา: พบในพื้นที่ชื้นแฉะ เช่น ห้องน้ำ ใต้อ่างล้างหน้า
- อาหาร: นม ไข่ ถั่ว อาหารทะเล
- มลภาวะทางอากาศ: ควันบุหรี่ ควันท่อไอเสีย ฝุ่น ไวรัส แบคทีเรีย
ปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อมและพฤติกรรมเสี่ยง
นอกจากสารก่อภูมิแพ้แล้ว ปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อมและพฤติกรรมที่มีผลต่อการเกิดโรคภูมิแพ้ ได้แก่:
- การอาศัยในพื้นที่ที่มีมลภาวะสูง
- การสัมผัสควันบุหรี่ทั้งทางตรงและทางอ้อม
- การสัมผัสสารเคมี สารระคายเคือง
- ความเครียด และการพักผ่อนไม่เพียงพอ
- การใช้ยาบางชนิดที่สามารถกระตุ้นอาการภูมิแพ้ได้
อาการของโรคภูมิแพ้
โรคภูมิแพ้อาการมีหลากหลายรูปแบบ ขึ้นอยู่กับประเภทของภูมิแพ้และระบบอวัยวะที่ได้รับผลกระทบ โดยส่วนใหญ่อาการจะเกิดขึ้นหลังจากสัมผัสสารก่อภูมิแพ้ไม่นาน
อาการของภูมิแพ้ทางเดินหายใจ
อาการภูมิแพ้ทางเดินหายใจที่พบบ่อย ได้แก่:
- จามบ่อยๆ โดยเฉพาะตอนเช้าหรือเมื่อเปลี่ยนอุณหภูมิ
- น้ำมูกไหลใสๆ หรือคัดจมูก
- คันจมูก คันตา น้ำตาไหล
- ไอแห้งๆ โดยเฉพาะตอนกลางคืนหรือเช้าตรู่
- หายใจมีเสียงวี้ด หอบ หรือเหนื่อยง่าย (ในกรณีหอบหืด)

อาการของภูมิแพ้ผิวหนัง
อาการภูมิแพ้ที่แสดงออกทางผิวหนัง ได้แก่
- ผื่นแดง คัน ลมพิษ
- ผิวแห้ง แตก ลอก ในกรณีโรคเอ็กซีมา
- บวมตามใบหน้า ริมฝีปาก ตา หรือบริเวณที่สัมผัสสารก่อภูมิแพ้
- ผื่นตุ่มน้ำพองที่คัน
อาการของภูมิแพ้อาหาร
ภูมิแพ้อาหารอาจแสดงอาการได้หลายระบบ ได้แก่
- คลื่นไส้ อาเจียน ท้องเสีย ปวดท้อง
- คันปาก คันคอ หรือรู้สึกแน่นคอ
- ผื่นลมพิษ หรืออาการทางผิวหนังอื่นๆ
- หายใจลำบาก (ในกรณีรุนแรง)
อาการแพ้เฉียบพลันที่อาจเป็นอันตราย
ในบางกรณี อาการแพ้อาจรุนแรงถึงขั้นเป็นอันตรายต่อชีวิต ที่เรียกว่า “แอนาฟิแล็กซิส” (Anaphylaxis) ซึ่งต้องได้รับการรักษาฉุกเฉินทันที อาการได้แก่
- หายใจลำบาก แน่นหน้าอก หรือบีบคอ
- ความดันโลหิตตกอย่างรวดเร็ว
- หัวใจเต้นเร็ว
- วิงเวียน หมดสติ
- บวมที่ลิ้น ริมฝีปาก หรือคอ
แนวทางการป้องกันโรคภูมิแพ้
การโรคภูมิแพ้ ป้องกันที่ดีที่สุดคือการหลีกเลี่ยงสารก่อภูมิแพ้ แต่ในความเป็นจริงอาจทำได้ยาก จึงมีแนวทางการป้องกันดังนี้
การหลีกเลี่ยงสารก่อภูมิแพ้
- ทำความสะอาดบ้านเป็นประจำ
- ซักทำความสะอาดผ้าปูที่นอน ปลอกหมอน ด้วยน้ำร้อนอย่างน้อยสัปดาห์ละครั้ง
- ใช้ปลอกกันไรฝุ่นสำหรับที่นอนและหมอน
- ลดความชื้นในบ้านเพื่อป้องกันเชื้อรา
- หลีกเลี่ยงการสัมผัสควันบุหรี่และมลพิษทางอากาศ
- อ่านฉลากอาหารอย่างละเอียดในกรณีที่มีภูมิแพ้อาหาร
ใช้เครื่องฟอกอากาศในห้องนอน เป็นอีกหนึ่งตัวช่วยสำคัญที่ควรพิจารณา
การปรับพฤติกรรมเพื่อเสริมภูมิคุ้มกัน
- รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ครบ 5 หมู่
- ออกกำลังกายสม่ำเสมอ
- พักผ่อนให้เพียงพอ
- จัดการความเครียดอย่างเหมาะสม
- หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่และดื่มแอลกอฮอล์
ศึกษาการใช้ประโยชน์จากเครื่องฟอกอากาศ ในการป้องกันมลภาวะ เพื่อลดอาการภูมิแพ้?
การใช้เครื่องฆ่าเชื้อโรคในอากาศภายในบ้าน
การใช้เครื่องฆ่าเชื้อโรคในอากาศหรือเครื่องฟอกอากาศฆ่าเชื้อโรคที่มีประสิทธิภาพ ช่วยลดปริมาณสารก่อภูมิแพ้ในอากาศได้ ควรเลือกเครื่องที่มีตัวกรอง HEPA และระบบฆ่าเชื้อ เพื่อกำจัดไรฝุ่น เชื้อรา แบคทีเรีย และไวรัส ซึ่งมีส่วนกระตุ้นอาการภูมิแพ้ โดยควรเปิดใช้งานในห้องที่ใช้เวลาอยู่นานๆ เช่น ห้องนอน ห้องทำงาน
การรักษาความสะอาดของที่อยู่อาศัย
- ทำความสะอาดพื้น เฟอร์นิเจอร์ด้วยผ้าชุบน้ำหมาดๆ เพื่อไม่ให้ฝุ่นฟุ้งกระจาย
- กำจัดแหล่งสะสมความชื้นและจุดที่มีเชื้อรา
- ลดการใช้พรม ผ้าม่านที่ซักทำความสะอาดยาก
- เลี่ยงการใช้สารเคมีที่มีกลิ่นฉุน หรือสารระคายเคืองในบ้าน
หากใช้เครื่องฟอกอากาศ ศึกษาว่าเครื่องฟอกอากาศเปิดตอนไหนจึงจะได้ประสิทธิภาพสูงสุดสำหรับผู้เป็นภูมิแพ้
การดูแลรักษาเมื่อมีอาการภูมิแพ้
ยาที่ใช้รักษาอาการภูมิแพ้ ได้แก่
- ยาต้านฮิสตามีน: ช่วยบรรเทาอาการจาม น้ำมูก คัน
- ยาพ่นสเตียรอยด์: สำหรับภูมิแพ้ทางเดินหายใจ
- ยาขยายหลอดลม: กรณีหอบหืด
- ยาทาสเตียรอยด์: สำหรับภูมิแพ้ผิวหนัง
- อิพิเนฟริน (EpiPen): สำหรับผู้ที่มีประวัติแพ้รุนแรง
การทำ Immunotherapy เพื่อรักษาระยะยาว
การทำอิมมูโนเทอราพี เป็นการรักษาที่ช่วยให้ร่างกายเกิดความเคยชินกับสารก่อภูมิแพ้ทีละน้อย โดยการฉีดสารก่อภูมิแพ้ในปริมาณน้อยๆ และค่อยๆ เพิ่มขึ้น หรือการใช้แผ่นละลายใต้ลิ้น วิธีนี้เหมาะสำหรับผู้ที่มีอาการภูมิแพ้รุนแรงและไม่ตอบสนองต่อการรักษาด้วยยา
แนวทางการดูแลตนเองและคำแนะนำจากแพทย์
- สังเกตและหลีกเลี่ยงสิ่งกระตุ้นอาการภูมิแพ้
- จดบันทึกอาการและสิ่งกระตุ้น เพื่อช่วยในการวินิจฉัยและรักษา
- ใช้ยาตามที่แพทย์สั่ง ไม่ปรับขนาดยาเอง
- พกยาฉุกเฉินติดตัวเสมอในกรณีที่มีประวัติแพ้รุนแรง
- ตรวจติดตามกับแพทย์อย่างสม่ำเสมอ
ผลิตภัณฑ์ที่แนะนำสำหรับผู้เป็นภูมิแพ้
เครื่องฆ่าเชื้อโรคสำหรับภูมิแพ้
Wellis Air เป็นหนึ่งในตัวเลือกชั้นนำสำหรับผู้ที่มีอาการภูมิแพ้ เนื่องจากเป็นเครื่องฆ่าเชื้อในอากาศที่สามารถกำจัดสารก่อภูมิแพ้ได้หลากหลาย ทั้งไรฝุ่น เชื้อรา เชื้อไวรัส และแบคทีเรีย ด้วยการปล่อยประจุไฮดรอกซิล (OH-) ซึ่งสามารถกำจัดสารก่อภูมิแพ้ได้ทั้งในอากาศและบนพื้นผิว โดยไม่ก่อให้เกิดสารตกค้างที่เป็นอันตราย
Wellis Air ได้รับการรับรองมาตรฐานจากหน่วยงานระดับโลกมากมาย เช่น FDA (สหรัฐอเมริกา), CE (สหภาพยุโรป), ISO 9001, ISO 14001, ISO 13485 และผ่านการรับรองความปลอดภัยจาก RoHS, FCC รวมถึงการรับรองมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (มอก.) ของประเทศไทย มีผลการทดสอบยืนยันประสิทธิภาพในการกำจัดเชื้อ COVID-19 จาก MRI Global และเชื้อโรคอื่นๆ จากสถาบันวิจัยชั้นนำหลายแห่ง
สรุปบทความ
ภูมิแพ้สาเหตุมีหลากหลาย ทั้งจากปัจจัยทางพันธุกรรมและสิ่งแวดล้อม ทำให้โรคภูมิแพ้เกิดจากอะไรเป็นคำถามที่มีคำตอบซับซ้อน การเข้าใจสาเหตุและกลไกการเกิดโรคจะช่วยให้เราสามารถจัดการกับโรคภูมิแพ้อาการได้อย่างมีประสิทธิภาพ การโรคภูมิแพ้ ป้องกันที่ดีที่สุดคือการหลีกเลี่ยงสารก่อภูมิแพ้ ร่วมกับการรักษาความสะอาดของสภาพแวดล้อม และการใช้อุปกรณ์ช่วยเช่นเครื่องฆ่าเชื้อโรคในอากาศ แม้โรคภูมิแพ้จะไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ แต่การจัดการอย่างเหมาะสมจะช่วยควบคุมอาการและทำให้ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นได้
ติดต่อรับคำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญหรือเลือกซื้อ Wellis Air ได้แล้ววันนี้
Line OA: @wellisthailand
Facebook: Wellis Thailand Official
Messenger: Wellis Thailand Official
ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ: 081-559-8555
ที่มา:
- สมาคมโรคภูมิแพ้ โรคหืด และวิทยาภูมิคุ้มกันแห่งประเทศไทย, “แนวทางการรักษาโรคภูมิแพ้ทางเดินหายใจในประเทศไทย”, 2023
- กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข, “แนวทางเวชปฏิบัติในการดูแลผู้ป่วยโรคภูมิแพ้”, ฉบับปรับปรุง 2023
- American Academy of Allergy, Asthma & Immunology, “Allergy Statistics”, 2024
- World Allergy Organization, “Global Burden of Allergic Diseases”, 2023