
ภูมิแพ้ในเด็ก เข้าใจสาเหตุ อาการ และวิธีดูแลป้องกันอย่างถูกต้อง
ภูมิแพ้ในเด็ก เป็นปัญหาสุขภาพที่พบได้บ่อยและมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นในปัจจุบัน โดยเฉพาะในสังคมเมืองที่มีมลพิษและเชื้อโรคในอากาศเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง การศึกษาจากสมาคมโรคภูมิแพ้แห่งประเทศไทยพบว่าเด็กไทยมากกว่า 30% มีอาการของโรคภูมิแพ้ในรูปแบบต่างๆ โดยมากกว่าครึ่งมีสาเหตุมาจากการหายใจเอาเชื้อโรคและสารก่อภูมิแพ้จากอากาศเข้าไป มักเริ่มแสดงอาการตั้งแต่วัยทารกและหากไม่ได้รับการดูแลที่เหมาะสม อาจส่งผลกระทบต่อพัฒนาการและคุณภาพชีวิตในระยะยาว บทความนี้จะช่วยให้คุณพ่อคุณแม่เข้าใจสาเหตุ อาการ และวิธีดูแลป้องกัน ภูมิแพ้ในเด็ก อย่างถูกต้อง โดยเฉพาะการจัดการกับเชื้อโรคและสารก่อภูมิแพ้ในอากาศ เพื่อลดความเสี่ยงและช่วยให้เด็กมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น
ภูมิแพ้ในเด็ก เป็นอย่างไร?
ภูมิแพ้ในเด็ก เกิดจากระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายที่ตอบสนองไวเกินปกติต่อสารก่อภูมิแพ้ (Allergen) ที่เข้าสู่ร่างกาย ทำให้เกิดการอักเสบเรื้อรังที่อวัยวะต่างๆ เช่น ผิวหนัง เยื่อบุจมูก เยื่อบุตา ทางเดินหายใจ หรือระบบทางเดินอาหาร เมื่อร่างกายสัมผัสกับสารก่อภูมิแพ้ จะมีการสร้างสารชื่อ อิมมูโนโกลบูลินอี (Immunoglobulin E; IgE) ซึ่งกระตุ้นให้เซลล์ในร่างกายหลั่งสารเคมีออกมา ทำให้เกิดอาการอักเสบและแสดงอาการต่างๆ ของโรคภูมิแพ้
ตามข้อมูลจากราชวิทยาลัยกุมารแพทย์แห่งประเทศไทย พบว่าโรคภูมิแพ้มักมีการถ่ายทอดทางพันธุกรรม โดยหากพ่อหรือแม่เป็นโรคภูมิแพ้ ลูกจะมีโอกาสเป็นโรคภูมิแพ้ถึง 20-40% และหากทั้งพ่อและแม่เป็นโรคภูมิแพ้ โอกาสจะเพิ่มขึ้นเป็น 50-80% โดยที่ไม่จำเป็นต้องเป็นชนิดเดียวกันหรือแพ้สารก่อภูมิแพ้ชนิดเดียวกัน
สาเหตุของภูมิแพ้ในเด็ก
การเกิด ภูมิแพ้ในเด็ก มีสาเหตุหลักจากปัจจัยสำคัญ 2 ประการ ได้แก่ ปัจจัยทางพันธุกรรมและปัจจัยจากสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะเชื้อโรคและสารก่อภูมิแพ้ในอากาศ
ปัจจัยทางพันธุกรรมเป็นสิ่งที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ แต่ปัจจัยจากสิ่งแวดล้อมสามารถควบคุมได้ จากการศึกษาของศูนย์ควบคุมและป้องกันโรค (CDC) พบว่ากว่า 80% ของสารก่อภูมิแพ้ที่กระตุ้นอาการในเด็กมาจากอากาศที่หายใจเข้าไป เชื้อโรคและสารก่อภูมิแพ้ในอากาศที่พบบ่อยในบ้านเรือน ได้แก่ ไรฝุ่นซึ่งอาศัยอยู่ในที่นอน หมอน พรม ของเล่นตุ๊กตา สปอร์ของเชื้อราที่เติบโตในที่ชื้นแฉะ ละอองเกสรดอกไม้ เชื้อไวรัสในกลุ่มทางเดินหายใจ เชื้อแบคทีเรีย และสารพิษที่ปล่อยออกมาจากแมลงสาบ
องค์การอนามัยโลก (WHO) รายงานว่าเด็กที่อาศัยในสภาพแวดล้อมที่มีเชื้อโรคและสารก่อภูมิแพ้ในอากาศสูงมีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคภูมิแพ้เพิ่มขึ้นถึง 40-60% โดยเฉพาะในช่วงฤดูที่มีการแพร่กระจายของเชื้อไวรัสทางเดินหายใจ เช่น RSV, Rotavirus และไวรัสไข้หวัดใหญ่ที่สามารถกระตุ้นอาการแพ้ในเด็กได้รุนแรงขึ้น
อาการของภูมิแพ้ในเด็กที่พ่อแม่ควรรู้
เด็กที่เป็นภูมิแพ้ จะแสดงอาการที่หลากหลายขึ้นอยู่กับระบบอวัยวะที่ได้รับผลกระทบ พ่อแม่ควรสังเกตอาการต่างๆ เพื่อสามารถให้การดูแลได้อย่างเหมาะสม

อาการภูมิแพ้ทางเดินหายใจ เช่น ไอ จาม น้ำมูกไหล
โรคภูมิแพ้ที่ส่งผลต่อระบบทางเดินหายใจในเด็กที่พบบ่อย ได้แก่ โรคจมูกอักเสบจากภูมิแพ้ (Allergic Rhinitis) และโรคหอบหืด (Asthma)
เด็กที่เป็นโรคจมูกอักเสบจากภูมิแพ้จะมีอาการคล้ายเป็นหวัดเรื้อรัง แต่ไม่มีไข้ ได้แก่ จามบ่อยๆ โดยเฉพาะในตอนเช้า คัดจมูก น้ำมูกใสไหลตลอดเวลา คันจมูก คันตา น้ำตาไหล หรือมีเสมหะไหลลงคอ ทำให้ไอเรื้อรัง บางรายอาจมีอาการนอนกรนหรือหายใจทางปาก เนื่องจากหายใจทางจมูกไม่สะดวก
ส่วนเด็กที่เป็นโรคหอบหืดจะมีอาการไอเรื้อรัง โดยเฉพาะในตอนกลางคืนหรือเมื่อออกกำลังกาย หายใจมีเสียงวี้ด หายใจลำบาก และแน่นหน้าอก อาการมักจะเป็นๆ หายๆ และอาจรุนแรงขึ้นเมื่อเจอสิ่งกระตุ้น เช่น สารก่อภูมิแพ้ อากาศเย็น หรือเมื่อมีการติดเชื้อทางเดินหายใจ

อาการภูมิแพ้ทางผิวหนัง เช่น ผื่นคัน ผิวอักเสบ
โรคภูมิแพ้ทางผิวหนังที่พบบ่อยในเด็ก ได้แก่ โรคผิวหนังอักเสบจากภูมิแพ้ (Atopic Dermatitis) และลมพิษเรื้อรัง
เด็กที่เป็นโรคผิวหนังอักเสบจากภูมิแพ้จะมีอาการผื่นแดง คัน ผิวแห้ง และบางครั้งอาจมีตุ่มน้ำหรือน้ำเหลืองไหล ตำแหน่งที่มักพบในเด็กเล็กคือ แก้ม หนังศีรษะ ข้อพับแขนขา ส่วนในเด็กโตมักพบที่คอ ข้อพับแขนขา มือและเท้า อาการมักเป็นมากเมื่ออากาศร้อนหรือหลังเหงื่อออก
ส่วนลมพิษจะมีลักษณะเป็นผื่นนูนแดง คัน อาจมีขอบซีดๆ ล้อมรอบผื่น ขนาดและรูปร่างไม่แน่นอน เกิดขึ้นและหายไปได้เร็วภายใน 24 ชั่วโมง อาจเกิดจากการแพ้อาหาร ยา หรือการติดเชื้อ
ความแตกต่างระหว่างอาการภูมิแพ้และไข้หวัดทั่วไป
พ่อแม่มักสับสนระหว่าง อาการภูมิแพ้ในเด็ก กับอาการหวัดทั่วไป เนื่องจากมีอาการคล้ายกัน แต่มีความแตกต่างที่สำคัญดังนี้
- ระยะเวลา อาการภูมิแพ้มักเป็นเรื้อรัง เป็นๆ หายๆ หรือเป็นตลอดทั้งปี ในขณะที่อาการหวัดมักหายได้เองภายใน 7-10 วัน
- ลักษณะของน้ำมูก: เด็กที่เป็นภูมิแพ้จะมีน้ำมูกใสไหลตลอดเวลา ส่วนเด็กที่เป็นหวัดมักมีน้ำมูกข้นเขียวหรือเหลือง
- อาการไข้: เด็กที่เป็นภูมิแพ้มักไม่มีไข้ แต่เด็กที่เป็นหวัดมักมีไข้ร่วมด้วย
- อาการคัน: เด็กที่เป็นภูมิแพ้มักมีอาการคันจมูก คันตา คันคอ แต่เด็กที่เป็นหวัดไม่มีอาการคัน
ช่วงเวลาที่มีอาการ: อาการภูมิแพ้มักเป็นมากในช่วงเช้าหรือเมื่อสัมผัสสารก่อภูมิแพ้ ส่วนอาการหวัดไม่ขึ้นกับช่วงเวลา
วิธีดูแลและรักษาภูมิแพ้ในเด็ก
การดูแลและรักษาเด็กเป็นภูมิแพ้ ควรทำอย่างเป็นระบบ ประกอบด้วยการกำจัดและหลีกเลี่ยงเชื้อโรคและสารก่อภูมิแพ้ในอากาศ การใช้ยาตามคำแนะนำของแพทย์ และการจัดสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม
การกำจัดเชื้อโรคและสารก่อภูมิแพ้ในอากาศเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพที่สุดในการป้องกันและควบคุมอาการของโรคภูมิแพ้ในเด็ก เนื่องจากเด็กหายใจเข้าออกถี่กว่าผู้ใหญ่ถึง 2 เท่า ทำให้ได้รับเชื้อโรคและสารก่อภูมิแพ้ในปริมาณที่มากกว่า การใช้เครื่องฆ่าเชื้อโรคในอากาศ ที่มีเทคโนโลยีล้ำสมัยอย่างเครื่อง Wellis Air จึงเป็นตัวช่วยสำคัญ เนื่องจากสามารถปล่อยประจุไฮดรอกซิล (Hydroxyl) ที่ช่วยกำจัดเชื้อไวรัส เช่น COVID-19, RSV, Rotavirus, เชื้อที่ทำให้เกิดโรคมือเท้าปากเปื่อย, SARS, MERS และเชื้อโรคอื่นๆ ได้ทั้งในอากาศและบนพื้นผิว โดยเฉพาะในห้องนอนเด็กที่มีความเสี่ยงต่อภูมิแพ้สูง
สำหรับเด็กที่แพ้ขนสัตว์ ไม่ควรเลี้ยงสัตว์ที่มีขนในบ้าน หรือหากจำเป็นต้องเลี้ยง ควรอาบน้ำให้สัตว์เลี้ยงสัปดาห์ละครั้ง และไม่ให้สัตว์เลี้ยงเข้าไปในห้องนอนของเด็ก นอกจากนี้ ควรหมั่นทำความสะอาดระบบปรับอากาศและเครื่องปรับอากาศในบ้าน เนื่องจากเป็นแหล่งสะสมของเชื้อราและฝุ่นละอองที่ก่อให้เกิดอาการภูมิแพ้ได้
นอกจากนี้ การดูแลสุขภาพทั่วไปของเด็กก็มีความสำคัญ ควรให้เด็กรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ พักผ่อนให้เพียงพอ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ และหลีกเลี่ยงการสัมผัสควันบุหรี่หรือมลพิษทางอากาศที่จะกระตุ้นอาการภูมิแพ้ให้รุนแรงขึ้น
สรุปบทความ
ภูมิแพ้ในเด็กเป็นโรคที่พบได้บ่อยและมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นตามการเพิ่มขึ้นของมลภาวะและเชื้อโรคในอากาศ แม้ว่าจะไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ แต่สามารถควบคุมและป้องกันไม่ให้มีอาการรุนแรงได้ การสังเกตอาการภูมิแพ้ในเด็ก ตั้งแต่เริ่มแรก การกำจัดเชื้อโรคและสารก่อภูมิแพ้ในอากาศ และการจัดการสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมเป็นสิ่งสำคัญ
การใช้เทคโนโลยีที่ช่วยกำจัดเชื้อโรคและลดสารก่อภูมิแพ้ในบ้าน เช่น เครื่องฆ่าเชื้อโรคในอากาศ ที่ใช้ประจุ Hydroxyl ซึ่งเป็นวิธีเดียวกับที่ธรรมชาติใช้กำจัดเชื้อโรคและสารพิษในชั้นบรรยากาศ ช่วยกำจัดเชื้อโรค สารก่อภูมิแพ้ และสารพิษทั้งในอากาศและบนพื้นผิวต่างๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ปลอดภัยต่อเด็กและสิ่งมีชีวิต สามารถใช้งานได้ตลอด 24 ชั่วโมง และเป็นเทคโนโลยีที่โรงพยาบาลไว้ใจและเลือกใช้ เหมาะกับเป็นเครื่องฟอกอากาศในโรงพยาบาล และยังเป็นทางเลือกที่เหมาะสมสำหรับครอบครัวที่มีเด็กเป็นภูมิแพ้ เพื่อช่วยให้เด็กมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นและสามารถใช้ชีวิตได้อย่างไร้กังวล
ติดต่อรับคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญหรือเลือกซื้อ Wellis Air ได้แล้ววันนี้
Line OA: @wellisthailand
Facebook: Wellis Thailand Official
Messenger: Wellis Thailand Official
ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ: 081-559-8555