
ไวรัส RSV คืออะไร? ทำความรู้จักไวรัสตัวร้ายที่พบบ่อยในเด็กเล็ก
การระบาดของเชื้อไวรัสทางเดินหายใจในช่วงหลายปีที่ผ่านมาทำให้ผู้คนเริ่มหันมาใส่ใจเรื่องสุขภาพระบบทางเดินหายใจมากขึ้น นอกจาก COVID-19 ที่เรารู้จักกันดีแล้ว ยังมีเชื้อไวรัสอีกชนิดหนึ่งที่มีความรุนแรงและอันตรายไม่แพ้กัน นั่นคือ ไวรัส RSV ซึ่งจัดอยู่ในกลุ่มเดียวกับไวรัสตระกูล Coronavirus ที่สามารถก่อให้เกิดการระบาดใหญ่ได้
ไวรัส RSV มีความน่ากลัวเป็นพิเศษเพราะสามารถแพร่เชื้อได้ง่ายผ่านละอองฝอยและการสัมผัส คล้ายกับ COVID-19 แต่มีอัตราการเสียชีวิตในเด็กเล็กที่สูงกว่า โดยเฉพาะในทารกอายุต่ำกว่า 6 เดือน ที่มีโอกาสเสียชีวิตได้ถึง 1 ใน 50 ของผู้ติดเชื้อ เช่นเดียวกับที่เราพบว่าโรคภูมิแพ้ในเด็กมักมีอาการกำเริบรุนแรงและเป็นอันตรายเมื่อร่างกายติดเชื้อไวรัสทางเดินหายใจ ทำให้เกิดภาวะหายใจล้มเหลวได้ และสิ่งที่น่าเป็นห่วงมากที่สุดคือ ไวรัส RSV สามารถก่อให้เกิดอาการรุนแรงและเป็นอันตรายถึงชีวิตได้ในระยะเวลาเพียงไม่กี่วัน โดยเฉพาะในกลุ่มเด็กเล็กและผู้มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง บทความนี้จะพาทุกท่านมาทำความรู้จักกับไวรัสตัวร้ายที่อาจกลายเป็นภัยคุกคามครั้งใหม่นี้ให้มากขึ้น
ไวรัส RSV คืออะไร
ไวรัส RSV หรือชื่อเต็มคือ Respiratory Syncytial Virus เป็นไวรัสที่ก่อให้เกิดการติดเชื้อทางเดินหายใจ มักพบระบาดในช่วงฤดูฝนและฤดูหนาว มักเกิดในเด็กเล็กที่มีอายุต่ำกว่า 3 ปี ที่ไวรัสชนิดนี้สามารถติดต่อได้ง่ายผ่านการไอ จาม หรือสัมผัสกับสารคัดหลั่งจากผู้ป่วย ซึ่งเมื่อเข้าสู่ร่างกายแล้ว มันจะเข้าไปทำลายเซลล์เยื่อบุทางเดินหายใจ ทำให้เกิดการอักเสบและมีเสมหะมากขึ้น
ตามข้อมูลจากองค์การอนามัยโลก (WHO) เชื้อ RSV เป็นสาเหตุหลักของโรคปอดบวมและหลอดลมอักเสบในเด็กอายุต่ํากว่า 5 ปีทั่วโลก โดยในแต่ละปีมีเด็กป่วยด้วยโรคนี้ประมาณ 33 ล้านคนและเสียชีวิตกว่า 120,000 คนทั่วโลก นอกจากนี้ การติดเชื้อ RSV ซ้ำในเด็กเล็กยังมีความเกี่ยวข้องกับระบบภูมิคุ้มกัน และอาจเป็นหนึ่งในสาเหตุโรคภูมิแพ้ในระยะยาว เช่น โรคหืดหรือภาวะหลอดลมหดเกร็งได้อีกด้วย นับเป็นไวรัสที่มีความรุนแรงและน่ากลัวมากตัวหนึ่ง
อาการของผู้ที่ติดเชื้อไวรัส RSV
เมื่อร่างกายได้รับเชื้อไวรัส RSV เข้าไป ระบบภูมิคุ้มกันจะเริ่มต่อสู้กับเชื้อโรค ทำให้เกิดอาการแสดงที่หลากหลาย ความรุนแรงของอาการจะแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล โดยเฉพาะอย่างยิ่งขึ้นอยู่กับอายุและสภาพร่างกายของผู้ป่วย อาการของโรคนี้มีตั้งแต่เบาจนถึงรุนแรง และบางครั้งอาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนที่เป็นอันตรายได้ ลองมาดูรายละเอียดของอาการในแต่ละกลุ่มผู้ป่วยกัน
อาการทั่วไปในเด็กและผู้ใหญ่
ผู้ที่ติดเชื้อไวรัส RSV จะมีอาการคล้ายไข้หวัดทั่วไปในช่วงแรก ได้แก่ มีน้ำมูก จาม ไข้ต่ำๆ และไอเล็กน้อย อาการเหล่านี้มักปรากฏภายใน 4-6 วันหลังได้รับเชื้อ ในผู้ใหญ่และเด็กโตที่มีภูมิคุ้มกันแข็งแรง การติดเชื้อ RSV มักไม่รุนแรงและหายได้เองภายใน 1-2 สัปดาห์
แต่ในเด็กเล็ก โดยเฉพาะทารกและเด็กอายุต่ำกว่า 3 ปี การติดเชื้อ RSV อาจมีความรุนแรงมากขึ้น โดยจะแสดงอาการเช่น
- มีไข้ (อาจสูงได้มากกว่า 39 องศา)
- หายใจเร็วหรือหายใจลำบาก หน้าอกบุ๋มลงเวลาหายใจเข้า
- หายใจมีเสียงวี้ด (Wheezing)
- ไอรุนแรง ไปจนถึงเกิดอาการอาเจียน
- มีอาการซึม เบื่ออาหาร ทานอาหารได้น้อยลง
ความรุนแรงและภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้น
ในกรณีที่รุนแรง การติดเชื้อ ไวรัส RSV อาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนที่อันตรายได้ โดยเฉพาะในเด็กเล็ก ผู้สูงอายุ และผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง ภาวะแทรกซ้อนที่พบบ่อย ได้แก่
- หลอดลมฝอยอักเสบ (Bronchiolitis): เป็นการอักเสบของหลอดลมขนาดเล็กในปอด ทำให้หายใจลำบาก เกิดอาการเขียว และอาจต้องได้รับออกซิเจนเสริม
- ปอดบวม (Pneumonia): การอักเสบของถุงลมในปอด ซึ่งอาจนำไปสู่การหายใจล้มเหลวได้
- หอบหืดกำเริบ: ในเด็กที่มีประวัติเป็นโรคหอบหืด การติดเชื้อ RSV สามารถกระตุ้นให้เกิดอาการกำเริบได้
ตามข้อมูลจากกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข ไทย พบว่าทารกแรกเกิดถึง 6 เดือนที่ติดเชื้อ RSV มีโอกาสต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลสูงถึง 1 ใน 3 ของผู้ป่วยทั้งหมด และบางรายอาจต้องเข้ารับการรักษาในหอผู้ป่วยวิกฤต เนื่องจากภาวะการหายใจล้มเหลว

RSV อันตรายกับใครบ้าง?
แม้ว่าทุกคนสามารถติดเชื้อ ไวรัส RSV ได้ แต่กลุ่มเสี่ยงที่อาจเกิดอาการรุนแรงจนถึงขั้นเป็นอันตรายถึงชีวิต ได้แก่:
- ทารกแรกเกิดและเด็กอายุต่ำกว่า 3 ปี โดยเฉพาะทารกที่เกิดก่อนกำหนด
- เด็กที่มีโรคประจำตัว เช่น โรคหัวใจแต่กำเนิด โรคปอดเรื้อรัง หรือภูมิคุ้มกันบกพร่อง
- ผู้สูงอายุที่มีอายุมากกว่า 65 ปี
- ผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง เช่น ผู้ป่วยที่ได้รับการปลูกถ่ายอวัยวะ ผู้ป่วยโรคเอดส์ หรือผู้ที่กำลังได้รับยากดภูมิคุ้มกัน

การป้องกันไวรัส RSV
การป้องกันการติดเชื้อ ไวรัส RSV ทำได้หลายวิธี ดังนี้
- หมั่นล้างมือให้สะอาด: การล้างมือด้วยสบู่และน้ำเป็นประจำสามารถช่วยลดการแพร่กระจายของเชื้อไวรัสได้
- หลีกเลี่ยงการสัมผัสกับผู้ป่วย: ควรหลีกเลี่ยงการพาเด็กเล็กไปในที่ที่มีคนแออัด เช่น โรงพยาบาล ศูนย์การค้า ในช่วงที่มีการระบาด เพื่อลดการสัมผัสกับผู้ที่มีอาการของโรคทางเดินหายใจ
- ทำความสะอาดพื้นผิวที่มีการสัมผัสบ่อย: เชื้อไวรัส RSV สามารถอยู่บนพื้นผิวได้นานหลายชั่วโมง ดังนั้นการเช็ดทำความสะอาดพื้นผิวที่มีการสัมผัสบ่อย เช่น ลูกบิดประตู โต๊ะ ของเล่นเด็ก โทรศัพท์ ด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อจะช่วยลดความเสี่ยงการติดเชื้อได้
- สวมหน้ากากอนามัย: หากจำเป็นต้องอยู่ในที่แออัดหรือใกล้ชิดกับผู้ป่วย จะช่วยลดการรับเชื้อผ่านละอองฝอยจากการไอจามได้ โดยเฉพาะในช่วงที่มีการระบาดของเชื้อทางเดินหายใจ
- ให้นมแม่: นมแม่มีภูมิคุ้มกันที่สำคัญหลายชนิด การให้นมแม่อย่างน้อย 6 เดือนแรกช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันให้แข็งแรงและลดความเสี่ยงในการติดเชื้อ
อีกวิธีการหนึ่งที่มีประสิทธิภาพในการป้องกันเชื้อ ไวรัส RSV คือการใช้เครื่องฆ่าเชื้อโรคในอากาศที่มีเทคโนโลยีการกำจัดเชื้อไวรัสโดยเฉพาะ เช่น เครื่อง Wellis Air ในการทำลายเชื้อโรคทั้งในอากาศและบนพื้นผิว ด้วยเทคโนโลยีประจุ Hydroxyl ซึ่งมีผลการทดสอบจากห้องปฏิบัติการว่าสามารถกำจัดเชื้อไวรัสหลายชนิดรวมถึง RSV ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และปลอดภัยสำหรับการใช้งานในห้องที่มีเด็กอ่อนหรือผู้ป่วย

ไวรัส RSV ต่างจากไข้หวัดทั่วไปอย่างไร?
หลายคนอาจเข้าใจว่าไวรัส RSV เป็นเพียงไข้หวัดชนิดหนึ่ง แต่ในความเป็นจริงแล้ว RSV มีลักษณะและผลกระทบที่แตกต่างจากไข้หวัดทั่วไปอย่างชัดเจน โดยเฉพาะในกลุ่มเด็กเล็กและผู้ที่มีภูมิคุ้มกันต่ำ
การเปรียบเทียบอาการและระยะฟักตัว
แม้ว่า ไวรัส RSV จะมีอาการเริ่มต้นคล้ายกับไข้หวัดธรรมดา แต่มีความแตกต่างที่สำคัญหลายประการ
- ระยะฟักตัว: ไวรัส RSV มีระยะฟักตัวประมาณ 4-6 วัน ในขณะที่ไข้หวัดธรรมดามีระยะฟักตัวสั้นกว่า คือประมาณ 1-3 วัน
- ระยะเวลาของโรค: การติดเชื้อ RSV มักมีอาการนานกว่า โดยเฉลี่ยประมาณ 1-2 สัปดาห์ ในขณะที่ไข้หวัดธรรมดามักหายภายใน 7-10 วัน
- ความรุนแรง: ในเด็กเล็ก RSV มักทำให้เกิดอาการรุนแรงกว่าไข้หวัดธรรมดามาก และมีโอกาสเกิดภาวะแทรกซ้อนสูงกว่า
ผลกระทบต่อระบบหายใจลึกกว่าไข้หวัดทั่วไป
ไวรัส RSV มีความสามารถในการทำลายเยื่อบุทางเดินหายใจส่วนล่างได้ลึกกว่าไวรัสไข้หวัดทั่วไป ทำให้เกิดการอักเสบของหลอดลมฝอยและถุงลมปอด ในขณะที่ไข้หวัดธรรมดามักจำกัดอยู่ที่ทางเดินหายใจส่วนบนเท่านั้น ซึ่งการติดเชื้อ RSV ยังอาจทำให้เกิดเสมหะและการอุดตันในทางเดินหายใจมากกว่า ส่งผลให้เกิดภาวะหายใจลำบากที่รุนแรงโดยเฉพาะในเด็กเล็ก ซึ่งมีทางเดินหายใจที่เล็กกว่าอยู่แล้ว
สรุปบทความ
ไวรัส RSV เป็นเชื้อไวรัสที่ก่อให้เกิดโรคทางเดินหายใจที่พบได้บ่อย โดยเฉพาะในเด็กเล็ก ซึ่งอาจทำให้เกิดอาการรุนแรงจนถึงขั้นเป็นอันตรายถึงชีวิตได้ การป้องกันที่ดีที่สุดคือการหลีกเลี่ยงการสัมผัสกับผู้ป่วย การทำความสะอาดมือและพื้นผิวอย่างสม่ำเสมอ รวมถึงการใช้อุปกรณ์เสริมเช่นเครื่องฆ่าเชื้อในอากาศที่มีประสิทธิภาพ


ในการป้องกันเชื้อไวรัส RSV ในบ้าน การใช้ Wellis Air ถือเป็นอีกทางเลือกที่น่าสนใจ เนื่องจากเครื่องมีคุณสมบัติในการพ่นประจุ Hydroxyl ออกมาทั่วบริเวณห้อง ซึ่งสามารถทำลายเชื้อโรคได้ทั้งในอากาศและบนพื้นผิวต่างๆ โดยมีผลการทดสอบจากห้องปฏิบัติการที่ยืนยันว่าสามารถกำจัดเชื้อไวรัสหลายชนิดรวมถึง RSV ได้จริง และยังรวมไปถึงผลการฆ่าเชื้อ COVID-19 จาก MRI Global และการกำจัดเชื้อโรคอื่นๆ จาก University of Barcelona และ KSD พร้อมการรับรองด้านความปลอดภัยจาก องค์การอาหารและยาของสหรัฐอเมริกา (US FDA), มาตรฐานความปลอดภัยของสหภาพยุโรป (CE Certificate) รวมถึงการรับรองมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (มอก. 60335 เล่ม 2(65)-2564) ของประเทศไทยอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งพิสูจน์แล้วว่าปลอดภัยต่อทารก เด็กเล็ก และสามารถเปิดใช้ได้ตลอด 24 ชั่วโมงโดยไม่ต้องพักเครื่อง
หากพบว่าเด็กหรือผู้สูงอายุในครอบครัวมีอาการของการติดเชื้อทางเดินหายใจ โดยเฉพาะอาการหายใจลำบาก ควรรีบพาไปพบแพทย์โดยเร็ว การวินิจฉัยและการรักษาที่รวดเร็วจะช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงได้
ติดต่อรับคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญหรือเลือกซื้อ Wellis Air ได้แล้ววันนี้
Line OA: @wellisthailand
Facebook: Wellis Thailand Official
Messenger: Wellis Thailand Official
ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ: 081-559-8555